เริ่มต้น"ร้านกาแฟ"
จากประสบการณ์ความสำเร็จ เจาะลึกทุกขั้นตอนการเปิดร้านกาแฟ ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงขั้นสูงสุด และบทความดีๆมากมายให้คุณได้ศึกษากันทุกซอกทุกมุมเกี่ยวกับธุรกิจร้านกาแฟ

กาแฟขี้ช้าง กาแฟแปลก จากเชียงราย

                ลืมไปได้เลย “คอปปี้ ลูอัค (Kopi Luwak)” กาแฟขี้อึชะมดที่ราคาแพงที่สุดในโลก จากประเทศอินโดนีเซีย… เพราะล่าสุด เครือโรงแรมหรู “อนันตรา รีสอร์ท แอนด์ สปา” ได้เปิดตัว กาแฟขี้ช้าง” ภายใต้ชื่อ “แบล็ค ไอวอรี่ คอฟฟี่” ที่มีราคาจำหน่ายสูงถึง $1,100 (ราว 3.4 หมื่นบาท) ต่อ 1 กิโลกรัม


            สำหรับขั้นตอนการผลิต กาแฟขี้ช้าง “แบล็ค ไอวอรี่ คอฟฟี่” เริ่มจากการคัดเลือกผลกาแฟไทยพันธุ์อาราบิก้าที่ปลูกบนระดับความสูง 1,500 เมตร แล้วนำมาให้ช้างกิน จากนั้นก็รอให้ช้างขับถ่ายเมล็ดกาแฟที่ผ่านการย่อยสลายโปรตีนแล้วออกมา โดยกาแฟแต่ละเม็ดจะถูกเก็บโดยควาญช้าง และจะนำไปตากแดดจนแห้ง 
           ซึ่งกว่าจะได้เมล็ดกาแฟแต่ละเม็ดไม่ใช่ง่ายๆเลย เพราะ ต้องรอให้ช้างกินผลกาแฟเข้าไป โดยสมัครใจ เพื่อไม่ให้กระทบกับพฤติกรรมการกินปกติของช้าง หลังจากนั้นก็ต้องคอยดูว่าช้างจะขับถ่ายออกมาเมื่อไหร่ ซึ่งแน่นอนว่าการตามล่าหาเมล็ดกาแฟในขี้ช้างนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ด้วยเหตุนี้ กาแฟจากขี้ช้างจึงมีราคาจำหน่ายสูงถึง $1,100 (ราว 3.4 หมื่นบาท) ต่อ 1 กิโลกรัม หรือแก้วละประมาณ $50 (ราว 1,500 บาท) แพงกว่ากาแฟ “ขี้ชะมด” ที่มีราคาขายปลีกราว $500-600 (ราว 1.5-1.8 หมื่นบาท) ต่อ 1 กิโลกรัม หรือแก้วละประมาณ $30 (ราว 900 บาท) 


           นายเบลก ดินกิ้น ผู้ก่อตั้งแบล็ค ไอวอรี่ คอฟฟี่ กล่าวว่า ที่เลือกช้างมาผลิตกาแฟ เนื่องจากช้างเป็นสัตว์ที่มีการย่อยอาหารและเอนไซม์ที่เอื้อต่อการผลิตกาแฟ และยังเป็นสัตว์ที่ไม่เคี้ยวอาหารทำให้เมล็ดกาแฟไม่แตกหัก

          ปัจจุบันกาแฟขี้ช้าง พร้อมเสิร์ฟและจำหน่ายกาแฟ โดยเครือโรงแรมอนันตราฯ ในรีสอร์ทหรู 4 แห่งที่มัลดีฟส์ และที่โรงแรมอนันตรา สามเหลี่ยมทองคำ จ. เชียงราย โดยรายได้ส่วนหนึ่งจากการจำหน่ายกาแฟดังกล่าว จะถูกนำไปสมทบทุน “มูลนิธิช้างเอเชียสามเหลี่ยมทองคำ (Golden Triangle Asian Elephant Foundation – GTAEF)” อีกด้วยค่ะ



ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก paow007.wordpress.com ,vouchertoday.com และ thanonline.com ด้วยนะคะ

กาแฟอินทรีย์...อร่อยปลอดภัย เป็นมิตรสิ่งแวดล้อม

               กาแฟอินทรีย์ คือกาแฟที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก โดยจะไม่ใช้สารเคมีใดๆ เลย นอกจากนั้นยังไม่ผ่านการดัดแปลงทางพันธุกรรม หรือการฉายรังสีเพื่อฆ่าแมลง เพราะเค้าใช้สารชีวภาพแทน ทำไม่มีสารเคมีตกค้างในดินและน้ำบริเวณนั้น ทำให้คงรสชาติกาแฟไว้ได้เป็นอย่างดี 

                ปัจจุบันกาแฟอินทรีย์ เป็นที่นิยมในตลาดโลก เนื่องจากกระแสของการห่วงใยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังผลิตได้ในปริมาณไม่มากนัก จึงทำให้กาแฟอินทรีย์ มีราคาที่ค่อนข้างสูง


ดื่มกาแฟอินทรีย์ ช่วยสิ่งแวดล้อม

                การปลูกกาแฟอินทรีย์ จะไม่มีการใช้สารเคมีเลย...เริ่มตั้งแต่ดินที่ใช้ในการปลูกจะต้องมั่นใจว่าไม่มีสารเคมีตกค้าง และต้องไม่ผ่านการทำเกษตรอินทรีย์ มาไม่น้อยกว่า 3 เดือน

                สำหรับการรักษาสภาพดิน จะใช้วิธีการปลูกพืชหมุนเวียน การปลูกพืชคลุมดิน และการใช้ปุ๋ยจากพืชและสัตว์ แทนการใส่ปุ๋ยเคมี แม้แต่สารเร่งการเจริญเติบโตของพืช ก็ยังใช้กรรมวิธีทางธรรมชาติ หรือทางชีวภาพ ไม่ใช้สารเคมีใดๆ


ว่าด้วยเรื่องรสชาติของกาแฟอินทรีย์

                รสชาติของกาแฟอินทรีย์ ได้การรับรองว่ารสชาติดีกว่า กาแฟที่ใช้สารเคมี เพราะสามารถคงรสชาติตามธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ราคาใกล้เคียงกัน หรือมากกว่าเล็กน้อย






แหล่งข้อมูล: coffeearte.weebly

ขอบคุณภาพจาก: http://northnetthailand.org

ขอบคุณคลิปดีๆจาก: technomm

“น้ำปั่น” กับ “สมูทตี้” ต่างกันอย่างไร ?

นี่มัน “สมูทตี้” หรือ “น้ำปั่น” !!!!
มองผ่านๆหลายๆคน อาจแยกไม่ออกว่านี่มัน สมูทตี้ หรือ น้ำปั่น ...สรุปแล้วมันต่างกันตรงไหน?



ว่าด้วยเรื่องเครื่องปั่นที่ใช้

สมูทตี้ – เครื่องปั่นที่ใช้ต้องมีรอบความเร็วสูงๆ (>15,000 – 20,000 รอบต่อนาที) และควรมีกำลังไฟสูงๆ และมีแรงเยอะๆ (> 800 วัตต์ขึ้นไป) ถึงจะทำให้น้ำและน้ำแข็งเป็นเนื้อเดียวกันค่ะ

(แต่...เครื่องปั่นที่มีกำลังไฟสูงๆนั้น มักจะตามมาด้วยเรื่องเสียงที่ดัง ดังนั้นอาจต้องดูจุดเด่นจุดด้อยหลายๆอย่างประกอบกันค่ะ)


น้ำปั่น – เครื่องปั่นที่ใช้ระดับความเร็วไม่ต้องสูงมาก เพราะไม่จำเป็นต้องปั่นให้ส่วนผสมละเอียดมาก


ความละเอียดของเครื่องดื่่ม

สมูทตี้ – ส่วนผสมทุกชนิดให้ละเอียดเนื้อเนียนนุ่มแทบจะเป็นเนื้อครีมได้เลยทีเดียว เพราะเมื่อดื่มปลายลิ้นจะสัมผัสได้ถึงความละเอียด เนียนนุ่ม อ่อนละมุนของเครื่องดื่มผ่านสู่ลำคอ เป็นเนื้อเดียวกันทั้งแก้ว สามารถทานได้เกลี้ยงไม่เหลือกากน้ำแข็งให้เห็น


น้ำปั่น – หากเป็นน้ำปั่นที่ได้จากผักและผลไม้สด เวลาดื่มจะรู้สึกได้ว่ามีกากน้ำแข็งแยกออกจากเนื้อผลไม้ และถ้าทิ้งไว้สักระยะจะเห็นว่ากากน้ำแข็งที่ว่านี้แยกตัวลอยอยู่ด้านบน ส่วนที่เป็นน้ำและเนื้อผลไม้จะจมอยู่ข้างล่าง หรือหากเลือกใช้น้ำผักหรือน้ำผลไม้ที่ได้จากการคั้นโดยเครื่องคั้นน้ำผักและผลไม้แบบแยกกาก ก็จะได้น้ำปั่นที่ไม่มีกากของผักผลไม้ผสม และบางครั้งจะพบว่าเวลาที่เราดื่มน้ำปั่นบ่อยครั้งที่ดูดไปเจอก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ ที่ปั่นไม่ละเอียด


สุดยอดเครื่องปั่นที่คุณควรมีติดร้าน Vita Mix !!

Vita-Mix สุดยอดเครื่องปั่นที่คุณควรมีไว้ในร้าน !!


                เคยสังเกตไหมคะเวลาไปซื้อกาแฟปั่น หรือน้ำผลไม้ปั่น ทำไมเครื่องปั่นตามร้านไม่เห็นเหมือนเครื่องปั่นที่บ้านเรา เครื่องปั่นเหล่านั้นต่างจากเครื่องปั่นของเราอย่างไรนะ ?

                ที่สำคัญเลยนะคะ ในการเปิดร้านขายพวกเครื่องดื่ม น้ำปั่นต่างๆ เครื่องปั่นที่ใช้ต้องสามารถทำงานหนักติดต่อกันหลายชั่วโมง ถ้าขืนเอาเครื่องปั่นก๋องแก๋งแบบตามบ้านมาใช้เิปิดร้าน นอกจากกินเวลาจนลิงหลับแล้ว เครื่องปั่นของคุณอาจจะไม่รอด ได้หยุดปั่นกลางคันแน่ๆ เสียโอกาสทางการขายอีก

                ในการซื้อเครื่องปั่นทั้งที Vitamix ถือเป็นเครื่องปั่นที่ได้รับความนิยมมาก ทั้งที่นำมาใช้ในครัวเรือนและในการค้าขาย นอกจากจะทนทานแข็งแรง ปั่นได้ละเอียด และเร็วทันใจแล้ว ที่สำคัญคือตัวเครื่องปั่น Vitamix ทำจากวัสดุที่มีคุณภาพดี จะช่วยผสมผสาน อาหาร และวัตถุดิบต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รสชาติดี และยังเต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ เอนไซม์ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของคุณ และครอบครัวอีกด้วย
             
                และยิ่งถ้าคุณมีลูกรับรองว่า Vitamix เป็นคำตอบที่สามารถตอบสนองความต้องการของคุณได้เป็นอย่างดี เพราคุณสามารถใช้มันปั่นส่วนผสมหรือวัตถุดิบลง โดยที่ลูกของคุณจะไม่รู้เลยมามีอะไรใส่ลงไปบ้าง เช่น ผักใบเขียว รากของผัก หรือสาหร่าย และสามารถเพิ่มส่วนผสมที่ให้ความหวานเพื่อความอร่อยลงไปเพิ่มเติ่ม ทำให้บรรดาเด็กๆชอบที่จะดื่มโดยไม่คิดว่ามีสิ่งที่แหยะของพวกเขาอยู่ในนั้น




                แล้ว Vitamix ดีอย่างไรอีกนะ ..!! วิเศษตรงไหนมาดูกันดีกว่าค่ะ
            
              -  Vitamix ถือเป็นเครื่องปั่นที่มีมอเตอร์ขนาดใหญ่ สามารถปรุงแต่งอาหารที่ต้องการความละเอียดได้ดี อาทิ เมล็ดพืช วัตถุดิบต่างๆ และยังสามารถทำไอศครีมแข็งบด น้ำซุปครีม น้ำผักผลไม้ปั่น
            
              - Vitamix เป็นเครื่องปั่นที่ถูกสร้างจากวัสดุที่มีคุณภาพ มีการรับประกัน 7 ปี มีใบมีดที่เข้าถึงด้วยความเร็วเกิน 200mph แข็งแรงพอที่จะบดงานที่อยากที่สุด อย่างเช่น อะโวคาโด และยังสามารถบดอาหารให้มีอนุภาคเล็กสุดๆ ถึงระดับเซลล์ ทำให้ได้เรารับสารอาหารมากขึ้น คุณภาพความแข็งแรงทนทานและที่คุณไม่สามารถหาได้จากที่ไหน

คาปูชิโน (Cappuccino) คืออะไร ???



คาปูชิโน (Cappuccino)
                 เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มประเภทกาแฟซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี คาปูชิโนมีส่วนประกอบหลักคือ เอสเปรสโซ และ นม การชงคาปูชิโนโดยส่วนใหญ่มักมีอัตราส่วนของเอสเปรสโซ 1/3 ส่วน ผสมกับนมสตีม (นมร้อนผ่านไอน้ำ) 1/3 ส่วน และนมตีเป็นโฟมละเอียด 1/3 ส่วนลอยอยู่ด้านบน นอกจากนั้นอาจโรยหน้าด้วยผงซินนามอน หรือ ผงโกโก้เล็กน้อยตามความชอบ ส่วนผสมของคาปูชิโนต่างจากของลาเต้ มาเกียโต้ (latte macchiato) ซึ่งประกอบไปด้วยนมเป็นส่วนใหญ่และนมตีโฟมเพียงเล็กน้อย





อเมริกาโน หรือ คาเฟ่ อเมริกาโน (Café Americano) คืออะไร


อเมริกาโน หรือ คาเฟ่ อเมริกาโน (Café Americano)
                คือเครื่องดื่มกาแฟชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิธีการชงโดยเติมน้ำร้อนผสมลงไปในเอสเพรสโซ การเจือจางเอสเพรสโซซึ่งเป็นกาแฟเข้มข้นด้วยน้ำร้อน ทำให้อเมริกาโนมีความแก่พอ ๆ กับกาแฟธรรมดา แต่มีกลิ่นและรสชาติที่เข้มอันมาจากเอสเพรสโซ อเมริกาโนเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกาแฟดำ แต่ไม่แก่และหนักถึงขั้นเอสเพรสโซ คอกาแฟส่วนใหญ่นิยมดื่มอเมริกาโนโดยไม่ปรุงด้วยนมหรือน้ำตาล เพื่อดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟของอเมริกาโนซึ่งแตกต่างจากกาแฟธรรมดา

ลาเต้ (Latte) คืออะไร???



ลาเต้ (Latte) 
                เป็นภาษาอิตาลีแปลว่านม ส่วนในประเทศอื่น จะหมายถึง กาแฟลาเต้ หรือเครื่องดื่มกาแฟที่เตรียมด้วยนมร้อน โดยการเทเอสเปรสโซ 1/3 ส่วน และนมร้อนอีก 2/3 ส่วน ลงในถ้วยพร้อมๆ กัน และจะหยอดโฟมนมหนาประมาณ 1 ซม. ทับข้างบน ในประเทศอิตาลี กาแฟลาเต้นี้รู้จักกันในชื่อของ “Caffè e latte” ซึ่งหมายถึง กาแฟกับนม ซึ่งใกล้เคียงกับในภาษาฝรั่งเศส คำว่า “café au lait” ในการชงกาแฟลาเต้ บาริสต้า (Barista:หรือผู้ชงกาแฟที่ชำนาญงาน) จะใช้วิธีขยับข้อมือเล็กน้อยขณะที่รินนมและโฟมนมลงบนกาแฟ ทำให้เกิดลวดลายต่าง ๆ เรียกว่า ลาเต้อาร์ต (latte art) หรือศิลปะฟองนมในถ้วยกาแฟ

เอสเพรสโซ (Espresso) คืออะไร???



เอสเพรสโซ (Espresso) 
             คือกาแฟที่มีรสแก่และเข้ม ซึ่งมีวิธีการชงโดยใช้แรงอัดไอน้ำหรือน้ำร้อนผ่านเมล็ดกาแฟคั่วที่บดละเอียด ที่มาของชื่อ เอสเปรสโซ มาจากคำภาษาอิตาลี “espresso” แปลว่า เร่งด่วน เอสเปรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลี การสั่งกาแฟ “caffe” ในร้านโดยทั่วไปก็คือสั่งเอสเปรสโซ ด้วยวิธีการชงแบบใช้แรงอัด ทำให้เอสเปรสโซมีรสชาติกาแฟซึ่งเข้มข้นและหนักแน่น ต่างจากกาแฟทั่ว ๆ ไปซึ่งชงแบบผ่านน้ำหยด และเพราะรสชาติเข้มข้นและหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ทำให้คอกาแฟดื่มเอสเปรสโซโดยไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม และมักจะเสิร์ฟเป็นชอต (แก้วแบบจอก) เพื่อให้ปริมาณไม่มากจนเกินไป (ประมาณ 1-2 ออนซ์ หรือ 30-60 มิลลิลิตร แตกต่างตาม พฤติกรรมการดื่ม ของแต่ละประเทศ) การสั่งเอสเปรสโซตามร้านกาแฟทั่วไป มักสั่งตามปริมาณเป็น “ซิงเกิ้ล” หรือ “ดับเบิ้ล” (ชอตเดียว หรือ สองชอต) เอสเปรสโซมีความไวสูงในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เพื่อไม่ให้เสียรสชาติจึงควรดื่มตอนชงเสร็จใหม่ ๆ



5 เทคนิคการเทลาเต้อาร์ทให้สวยโดนใจ

ปัจจัยในการเทลาเต้อาร์ทให้สำเร็จ

           1. เอสเพรสโซ่ช็อตต้องถูกต้อง มีครีม่าที่หนาข้น แนะนำให้ใช้อราบิก้าที่คั่วเข้มจะได้ครีม่าที่เข้มและละเอียดค่ะ ไม่แนะนำโรบัสต้าเพราะได้ครีม่าเยอะแต่หยาบ เทแล้วไม่สวย



           2. สตรีมนม ลักษณะของนมที่จะสามารถเทได้สวย ผิวหน้าของนมจะดูมันวาว แต่จะยังเหลวพอที่จะเขย่าไปมาได้ ถ้าลองเขย่าพิชเชอร์แล้วรู้สึกว่านมมันหนืด อันนี้ก็ข้นไปครับ การจะได้สตรีมนมที่ดีต้องใช้เวลาฝึกพอสมควร


ในเครื่องชงกาแฟแต่ละตัวก็มีวิธีการสตรีมที่ต่างกัน




           -เครื่องเล็กๆ ให้จุ่มก้านสตรีมแค่ผิว ๆ จะได้ยินเสียงซี่ๆๆ ให้คงตำแหน่งไว้ตลอด ไม่ต้องจุ่มให้ลึกกว่านี้ พยายามให้ผิวนมหมุนเป็นคลื่น จะทวนหรือตามเข็มก็ได้


           -เครื่องใหญ่ นมจะหมุนแรงมาก ต้องหาตำแหน่งที่พอดีแล้วก็ไม่ต้องขยับอะไรเลย ถ้าตำแหน่งถูกจะได้เอง และก้านสตรีมก็จุ่มลึกลงหน่อยประมาณ1-2 เซนติเมตร




           ลักษณะของนมที่สามารถเทได้สวย ผิวหน้าของนมจะดูมันวาว แต่จะยังเหลวพอที่จะเขย่าไปมาได้ ถ้าลองเขย่าพิชเชอร์แล้วรู้สึกว่านมมันหนืดถือว่าข้นไป

            3. พิชเชอร์ แล้วแต่ความถนัดเลย ชอบอันไหนก็ใช้อันนั้น ลองหลายๆแบบเลยจะได้รู้ 




            4.ถ้วยกาแฟ แนะนำใช้ถ้วยใหญ่ ๆ ปากกว้าง ๆ ก่อน ซัก 12 ออนซ์ น่าจะเหมาะที่สุดสำหรับเริ่มทำลาเต้อาร์ท




             5.เทคนิคการเท ไม่ว่าจะเอียงถ้วย เทแรง ๆ เทต่ำ ๆ มันมีผลต่อรูปที่เกิดขึ้นหมดค่ะ แนะนำวีดีโอข้างล่างนี้ค่ะ ลองหัดดูแล้วลองทำตามดูนะคะ




ขอบคุณข้อมูลดีดีจากเว็บไซต์ seat2cup.com และร้อยตะวันด้วยนะคะ ^^

สมูทตี้มะเขือเทศกับแตงกวา เมนูเพื่อผิวพรรณขาว สดใส อ่อนกว่าวัย

            นอกจากการขายเครื่องดื่มกาแฟแล้ว พวกน้ำผลไม้ปั่นสมูทตี้ต่างๆ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ในการทำการตลาดของร้านกาแฟแล้วการขายเครื่องดื่มชนิดอื่นก็สามารถเพิ่มยอดขายได้อีกทางนะคะ เพราะหากมีลูกค้าซื้อน้ำผลไม้ของคุณก็มีโอกาสที่เพื่อนหรือผู้ติดตามจะซื้อกาแฟด้วย


            เมนูวันนี้เป็น สมูทตี้มะเขือเทศกับแตงกวา  นอกจากได้ความอร่อยสดชื่นแล้ว ผิวพรรณของคุณยังจะขาว สดใส อ่อนกว่าวัยอีกด้วย




ส่วนผสม
- มะเขือเทศลูกใหญ่ 200 กรัม
- แตงกวา 1oo กรัม
- น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
- นมเปรี้ยวรสรรมชาติ 125 กรัม
- ผงขมิ้นเล็กน้อย
- นมถั่วเหลือง 250 มิลลิลิตร
ขั้นตอนการทำ
1. ล้างมะเขือเทศและแตงกวาให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แช่ตู้เย็นไว้ประมาณ 30 นาที

2. ใส่มะเขือเทศและแตงกวาลงในเครี่องปั่น ตามด้วยนมเปรี้ยว นมถั่วเหลือง น้ำผึ้ง และผงขมิ้นเล็กน้อย
ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเป็นเนื้อเนียนละเอียด พร้อมเสิร์ฟทันที

เคล็ดลับการชงกาแฟให้อร่อย (ตอนที่ 1 น้ำกับการชงกาแฟ)

ตอนที่ 1 น้ำกับการชงกาแฟ... ตอนนี้ขอว่าด้วยเรื่องของน้ำค่ะ


            หลายๆท่านอาจจะยังไม่ทราบถึงความสำคัญของน้ำ...ลองมองดูง่ายๆเลยนะคะในกาแฟ 1 ถ้วย ประกอบด้วยน้ำไปแล้ว 98 % ซึ่งทำให้สัดส่วนปริมาณของน้ำมากกว่าสารกาแฟที่ละลายอยู่ในน้ำมาก 
           นอกจากเรื่องของปริมาณแล้ว คุณสมบัติของน้ำยังมีความสำคัญโดยตรงอย่างมากต่อกลิ่นและรสชาติของกาแฟ เพราะน้ำถือเป็นตัวทำละลายสารในเมล็ดกาแฟ   


            ดังนั้นจึงควรเลือกใช้น้ำที่สะอาด บริสุทธิ์ ที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่น ปราศจากสารเจือปน มีค่าตะกอนแขวนลอยและค่าความกระด้างต่ำ น้ำยิ่งสะอาดยิ่งทำให้การดึงรสชาติของกาแฟออกมาชัดเจนขึ้น ส่วนเรื่องอุณหภูมิของน้ำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ต้องให้ความสนใจนะคะอุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมในการชงกาแฟอยู่ที่ประมาณ 90 – 96 องศาเซลเซียส ซึ่งเครื่องชงกาแฟทั่วไปจะตั้งค่าไว้ที่ประมาณนี้ค่ะ
           น้ำมักเป็นสิ่งที่เรามองข้าม บางคนคิดว่าแค่น้ำสะอาดก็น่าจะพอแล้ว จึงไม่ค่อยพิถีพิถันในการเลือกน้ำมากนัก บางคนคิดว่าน้ำขวดที่ขายๆ อยู่เป็นน้ำที่เหมาะกับการชงกาแฟแล้ว แต่อยากจะบอกว่าน้ำบรรจุขวดที่ขายๆ อยู่ทั่วไปถ้าลองชิมดูแล้วจะรู้ว่าน้ำแต่ละยี่ห้อก็มีกลิ่นและรสชาติที่ไม่เหมือนกัน

          น้ำที่เหมาะที่สุดสำหรับการชงกาแฟ  คือ น้ำที่ผ่านกระบวนการ Reverse Osmosis เห็นได้ง่ายตามตู้กดน้ำตามหมู่บ้าน (แต่ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรว่าเป็นน้ำ Reverse Osmosis จริงๆ) หรือง่ายที่สุดน่าจะเป็นน้ำต้มสุกน่าจะเข้าท่ามากที่สุดก็ใช้ได้คะ่

มาดูกรณีตัวอย่างจากประสบการณ์จริงในร้านกาแฟ...ว่าด้วยเรื่องน้ำดีกันเลยดีกว่านะคะ          "หลังจากเปิดร้านมาได้ประมาณ 2-3 เดือน ลูกค้าบ่นเกี่ยวกับรสชาติที่เปลี่ยนไปของกาแฟ เครื่องชงกาแฟที่ใช้เป็นรุ่นที่ขายดีที่สุด แบบออโต้เมติก มีคุณสมบัติและฟังก์ชันให้สามารถปรับแต่งได้เยอะมาก
เช่น ความดันและอุณหภูมิของน้ำในการชงกาแฟ รวมทั้งสามารถปรับระดับความกระด้างของน้ำ และฟังก์ชั่นอื่นๆได้อีกมากมาย ตอนแรกคิดว่าสาเหตุของกลิ่นและรสชาติที่เปลี่ยนเป็นเพราะเมล็ดกาแฟจึงแจ้งข้อมูลกับทางร้าน ต่อมาหลังจากที่ตามไล่เช็คที่ละจุดทำให้ทราบว่าสาเหตุเกิดจากการปรับค่าความกระด้างของตัวเครื่องชงกาแฟเมื่อเดือนก่อนขณะทำการล้างตะกรันเพราะการรู้เท่าไม่ถึงการคิดว่ามีผลแค่การเตือนให้ล้างตะกรันเท่านั้น หลังจากได้ปรับตั้งค่าความกระ้ด่างกลับตามคู่มือระบุก็พบว่าความนุ่มนวล หอมหวานกลับมาอีกครั้ง มันเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆใช่ไหมละคะ
           ก็เป็นอีกประสบการณ์หนึ่งที่ทำให้เห็นความสำคัญของน้ำที่ใช้ชงกาแฟมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องน้ำกรองแต่ต้องดูถึงเรื่องความกระด้างของน้ำด้วย หลังจากนั้นดิฉันก็เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องของน้ำมากขึ้น ทั้งมีการนำเอาเรซินมาใช้เพื่อช่วยปรับความกระด้างน้ำที่ใช้ในการชงกาแฟ ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่องรสชาติแล้วยังลดปัญหาเรื่องตะกรันในหม้อต้มอีกด้วย "
             เห็นแล้วใช่ไหมคะว่าน้ำเนี่ยสำคัญมากๆต่อการชงกาแฟ  หากเลือกใช้น้ำที่คุณภาพแย่ เวลาเอามาชงกาแฟมันก็จะให้กลิ่นและรสที่แย่ไปด้วย เลือกน้ำให้ดี น้ำดีก็จะทำให้มีสิ่งบดบังกาแฟน้อยลง
             น้ำกระด้าง ไม่สะอาด กาแฟเราก็จะถูดบดบังมากขึ้น รสชาติก็จะกระด้างขึ้นนะคะ

            "เคล็ดลับการชงกาแฟให้อร่อย  (ตอนที่ 1 น้ำกับการชงกาแฟ) คือ ใช้น้ำสะอาดไร้สี กลิ่น รส"


นมกับกาแฟ..คู่หูที่ขาดกันไม่ได้ (ตอนที่ 2)

            ต่อจากความเดิมตอนที่ 1 ในนมแต่ละประเภทมีสัดส่วนของโปรตีน ไขมันหรือองค์ประกอบอื่นๆต่างกัน ซึ่งมีผลต่อการทำฟองนม ไม่เชื่อลองทำแล้วมาเปรียบเทียบกันสิคะ บ้างก็ไม่ค่อยมีฟอง หรือไม่ทันไรฟองก็หายไปหมด ใครยังไม่ได้อ่าน ตอนที่ 1 พลาดไม่ได้นะคะ จะได้รู้ว่าองค์ประกอบใดมีผลต่อการเกิดฟองนมบ้าง!!

            ทราบไหมคะว่านมที่เราใช้ในการทำฟองนมนั้นเป็นนมพร้อมดื่ม ซึ่งก็คือนมดิบที่ผ่านกระบวนวิธีฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อน หรือนมสดที่ผ่านความร้อนซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ชนิดคือ




(1) นมพาสเจอร์ไรซ์ (Pasteurized milk)

            นมพาสเจอร์ไรซ์ เป็นนมโคที่ผ่านการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิต่ำ ในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งการฆ่าเชื้อแบบนี้จะเป็นการทำลายเชื้อแค่เพียงบางส่วน นมที่ได้จึงมีอายุอยู่ได้ไม่นานนักเฉลี่ยประมาณ 7 วัน และด้วยการฆ่าเชื้อแบบที่อุณหภูมินี้เอง ทำให้สารอาหารที่อยู่ในนมจะยังคงมีอยู่มาก (ใกล้เคียงธรรมชาติ...ว่างั้นเหอะ) หรือที่เราเรียกง่ายๆ ว่า นมขวด 

(2) นมสเตอริไลซ์ (Sterilized milk)


            นมสเตอริไลซ์ เป็นนมโคที่ผ่านกระบวนการการทำให้ปลอดเชื้อในภาชนะปิดผนึก ที่ความร้อนสูง นมชนิดนี้สามารถเก็บไว้ได้นานมาก โดยเฉลี่ยประมาณ 1 ปี แต่เป็นนมที่มีกลิ่นที่เกิดจากการทำให้ปลอดเชื้อ รวมทั้งอาจมีกลิ่นภาชนะที่บรรจุด้วย (ให้ทายว่าเรียกง่ายๆ ว่าอะไร....ติ๊กต่อกๆ นมกระป๋อง...ถูกต้องนะคร้าบบบบ)

(3) นม ยู เอส ที (U.H.T. = Ultra high temperature milk or Ultra heat treated milk)


            นม ยู เอส ที เป็นนมสดที่ผ่านการฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิสูงมาก โดยใช้เวลาสั้นมาก นมที่ได้จะปลอดเชื้อและสามารถเก็บไว้ได้นานโดยเฉลี่ยประมาณ 6 เดือน โดยที่กลิ่นรสจะยังใกล้เคียงธรรมชาติ เพราะผ่านระยะเวลาการฆ่าเชื้อที่สั่นมากๆ นั่นเอง นมแบบนี้เรียกให้เข้าใจกันง่ายๆ ว่า นมกล่อง



            หลายคนอยากรู้แล้วใช่ไหมคะว่าสรุปแล้วนมแบบไหนเหมาะสำหรับทำกาแฟมากที่สุด ร้านกาแฟส่วนใหญ่มักจะใช้นมพาสเจอร์ไรซ์ แบบธรรมดา แต่บางแห่งอาจมีให้เลือกทั้งนมสดแบบธรรมดาและแบบไขมันต่ำ ซึ่งนมสดแบบธรรมดาก็จะให้รสชาติที่เป็นธรรมชาติและไขมันก็จะทำให้ฟองคงอยู่ได้นาน แต่นมแบบไขมันต่ำก็อาจจะทำให้รสชาติเปลี่ยนไปได้เล็กน้อยรวมทั้งฟองก็จะอยู่ได้ไม่นาน จะเลือกแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับความชอบ (หรือห่วงอยางรอบเอว)
            นม UHT ยังพออนุโลมให้ใช้ได้บ้างกับเมนูเครื่องดื่มเย็น
            นมสเตอริไรซ์  ไม่ควรนำมาใช้ชงกาแฟอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะทำให้กลิ่นและรสชาติของกาแฟเสียแล้ว...ยังแพงกว่านมชนิดอื่นๆอีก โดยทั่วไปร้านกาแฟชั้นนำมักจะเลือกใช้นมสดยี่ห้อเดิมๆ เพื่อเป็นการรับประกันว่า รสชาติของกาแฟจะยังได้มาตรฐานทุกแก้ว

 

            นอกจากการเลือกนมให้เหมาะสมแล้วการตีฟองนมก็เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้กาแฟรสชาติดีขึ้น อย่าลืมติดตามเทคนิคการตฟองนมกันต่อในตอนที่ 3 นะคะ
            ขอบคุณข้อมูลดีดี จาก dek-d.com/board และ coffeetalk.exteen.com ด้วยนะคะ 

นมกับกาแฟ..คู่หูที่ขาดกันไม่ได้ (ตอนที่ 1)


          นอกจากกาแฟดำ หรือเอสเปรสโซ่แล้ว เมนูกาแฟอื่นๆล้วนแต่มีนมเป็นส่วนประกอบด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น คาปูชิโน ลาเต้ ม็อคค่า หรือเมนูกาแฟอื่นๆอีกมากมาย ดังนั้นนมจึงเป็นสิ่งที่เราต้องให้สำคัญไม่แพ้กาแฟเลยนะคะ  บาริสต้าจึงควรที่จะมีความรู้เรื่องนมที่ดีเพื่อที่จะนำมาปรุงกาแฟได้อย่างเหมาะสม

          ทำไมนมถึงสำคัญ!!

          นม คือของเหลวสีขาวที่ออกมาจากเต้านมของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม รวมถึงเครื่องดื่มอื่นที่นำมาใช้ทดแทนนม เช่น นมถั่วเหลือง นมข้าว นมข้าวโพด นมแอลมอนด์ เป็นต้น
          นม ประกอบด้วยสารอาหาร 4 ส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ น้ำ ไขมัน โปรตีน และน้ำตาล นมคนละประเภทก็มีสัดส่วนของส่วนประกอบต่างกัน ดังกราฟที่ 1 ด้านล่างนี้ จะเห็นว่าน้ำถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของนมแต่ละประเภท และกราฟที่ 2 ซึ่งแสดงสัดส่วนของส่วนประกอบในนมแต่ละประเภทซึ่งไม่พิจารณาน้ำ ซึ่งจะทำให้เห็นความแตกต่างของส่วนประกอบอื่นๆชัดเจนยิ่งขึ้น คำถามคือนมประเภทไหนล่ะที่เหมาะกับการนำมาใช้ทำกาแฟมากที่สุด

   
กราฟที่ 1 แสดงสัดส่วนของส่วนประกอบในนมแต่ละประเภท

กราฟที่ 2 แสดงสัดส่วนของส่วนประกอบในนมแต่ละประเภท
     

           นมมีกี่แบบ...คุณคงสงสัยใช่ไหมคะว่านมแบบไหนเหมาะสำหรับทำกาแฟมากที่สุด

           บาริสต้าที่ดีจะต้องให้ความสำคัญกับรสชาติ กลิ่น คุณสมบัติในการสร้างโฟมและการคงตัวของโฟม (ถ้าอยากเป็นบาริสต้าที่ดี ต้องรู้ให้ลึกและรู้ให้จริง)
           นมแต่ละประเภทมีสัดส่วนของโปรตีน ไขมันหรือองค์ประกอบอื่นๆต่างกัน ซึ่งมีผลต่อการทำฟองนม ไม่เชื่อลองทำแล้วมาเปรียบเทียบกันสิคะ บ้างก็ไม่ค่อยมีฟอง หรือไม่ทันไรฟองก็หายไปหมด
เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าองค์ประกอบใดมีผลต่อการเกิดฟองนมบ้าง!!

            ส่วนประกอบที่มีผลต่อการทำฟองนมตัวแรกได้แก่ "โปรตีน" พระเอกของเราเลยค่ะ โปรตีนถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดฟอง ซึ่งฟองมากหรือน้อยนั้นโปรตีนจะเป็นตัวกำหนดค่ะ


             พระรองของเราก็่ไม่ใช่ใครที่ไหน "ไขมัน" นั้นเอง ไม่มีไขมันฟองนมก็อยู่ไม่ได้ ^-^  ก็พี่ไขมันเนี้ยเป็นตัวที่ทำให้เกิดการคงอยู่ของโฟมนม ซึ่งโดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักเรียกไขมันจากน้ำนมว่า มันเนย

             นอกจากสัดส่วนของโปรตีนและไขมันแล้ว เรื่องของรสชาติและกลิ่นก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามนะคะ เพราะนมคนละประเภทกันย่อมได้รสและกลิ่นที่แตกต่างกันด้วย สุดท้ายใครจะเลือกนมประเภทไหนมาทำฟองนมก็อย่าลืมดูสัดส่วนของโปรตีนและไขมัน ประกอบการพิจารณาด้วยนะคะ เนื่องจากนมโคสามารถแบ่งย่อยได้อีกหลายประเภท ในตอนที่ 2 จะเลือกประเภทของนมโคที่เหมาะสมต่อการทำฟองนมกันค่ะ

             ขอบคุณข้อมูลดีดี จาก dek-d.com/board และ coffeetalk.exteen.com ด้วยนะคะ

3 เหตุผลที่ทำให้ร้านกาแฟประสบความสำเร็จ

              หลายๆคนที่กำลังสนใจจะเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง แต่ยังกังวลเรื่องผลลัพธ์ของการลงทุนที่จะเกิดหลังจากเปิดร้านแล้ว ซึ่งหลายๆคนคงเคยมีความคิดดีๆสำหรับร้านกาแฟของตัวเอง ซึ่งอาจจะเป็นทั้งความคิดง่ายๆอย่างการซื้อเฟรนไชส์ร้านกาแฟซักชุด หรือบางคนอาจมีความคิดบรรเจิดถึงขนาดจะเปิดร้านกาแฟของตัวเองเลย แน่นอนว่าความคิดเหล่านั้นมีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ถ้าร้านกาแฟของคุณประสบความสำเร็จก็เป็นเรื่องดี แต่สำหรับคนที่ล้มเหลว เหตุผลมากมายก็ผุดขึ้นมา เช่น ทำเลที่ตั้งไม่ดีบ้าง โดนร้านใหญ่ๆแย่งลูกค้าบ้าง เป็นต้น แล้วจริงๆแล้วปัญหามันมาจากสาเหตุเหล่านั้นจริงรึเปล่า?



             ปัจจุบันมีร้านกาแฟเิปิดขึ้นมากมายแต่คุณสังเกตไหมคะว่าร้านกาแฟที่ประสบความสำเร็จและมีกลุ่มลูกค้าเหนียวแน่นมากมายหลายๆร้านนั้นก็ไม่ได้มีทำเลทองหรือว่าร้านใหญ่โตแต่อย่างใด แล้วทำไมพวกเขาถึงทำได้ล่ะ?

              เหตุผลที่ร้านกาแฟของคุณไม่ประสบความสำเร็จมาจากการขาดความเอาใส่ใจในรายละเอียดต่างๆภายในร้าน ขาดความรู้ในการทำธุรกิจของเจ้าของร้าน และเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องเล็กๆที่หลายๆคนมองข้ามนั่นก็คือ ทัศนคติต่อลูกค้า โดยนิยามเหตุผลแต่ละข้อไว้ดังนี้ค่ะ

           เหตุผลข้อที่ 1 : รายละเอียด
· คุณภาพห่วย บริการแย่ พนักงานหน้าบูด
· ราคาไม่เหมาะสม
· บรรยากาศไม่ดี
· ความสะอาด



           เหตุผลข้อที่ 2 : ความรู้ด้านการทำธุรกิจ
· ไม่มีการวางแผนธุรกิจ (หรือถ้ามีก็มีแบบลวกๆ)
· เงินหมุนเวียน (Cash Flow)
· คุมค่าใช้จ่ายไม่ได้
· ขาดโฆษณา
· ทำเล



           เหตุผลข้อที่ 3 : ทัศนคติต่อลูกค้า
· คุณต้องคิดว่าลูกค้าคือพระเจ้า ต้องให้ความสำคัญต่อคำแนะนำ และคำติชม


ข้อมูลดีๆจาก "ทำไมร้านกาแฟจึงล้มเหลว? / WHY DO COFFEE SHOPS FAIL?"  โดย Russel Frederic W.

3 ข้อพิจารณา ในการเลือกทำเลที่ตั้งร้านกาแฟ / ทำเลสำหรับเปิดร้านกาแฟ

          สำหรับร้านกาแฟแล้วทำเลที่ตั้งถือเป็นเรื่องสำคัญอันดับต้นๆเลยก็ว่าได้ ร้านกาแฟที่ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีย่อมมีโอกาสในการประสบความสำเร็จสูง

         ทำเลที่ตั้งสำหรับทำร้านกาแฟ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
1. ทำเลจากสถานที่เดิมที่มีอยู่แล้ว
2. ทำเลที่ได้มาจากหาเองเพื่อเปิดร้านกาแฟโดยเฉพาะ

        แบบแรก ทำเลจากจากสถานที่ที่มีอยู่แล้ว ซึ่งส่วนมากที่ดินหรือสถานที่เป็นเจ้าของกิจการไม่ต้องไปเช่าพื้นที่ เช่าอาคาร ตัวอย่างเช่น บ้าน อาคารพาณิชย์ หอพัก โรงแรม หรือตลาด เป็นต้น 

        แบบสอง ทำเลหาเอง ซึ่งทำเลหาเองมีหลักในการพิจารณา 3 ข้อดังต่อไปนี้

        1) สถานที่ตั้งและสิ่งแวดล้อม

    • ความหนาแน่นของลูกค้า (จำนวนลูกค้าที่ผ่านไปผ่านมาในบริเวณที่ตั้งของร้าน)
               **หากเป็นไปได้เลือกทำเลที่อยู่ใกล้สถานศึกษา สถานที่ราชการ แหล่งท่องเที่ยว หรือแหล่งชุมชนบ้านพักอาศัย
    • สภาพแวดล้อมทางกายภาพโดยรอบ ควรจะมีลักษณะที่สะอาดสะอ้านไม่แออัด (ทุกอย่างรอบๆร้านกาแฟ เช่นพวกตึก อาคาร สิ่งก่อสร้างต่างๆ) 
    • ระดับการแข่งขันในธุรกิจเดียวกัน (จำนวนร้านค้ากาแฟที่ตั้งในบริเวณใกล้เคียง)
    • แนวโน้มของภูมิทัศน์ และเศรษฐกิจโดยรอบ (การตัดถนน, การเพิ่มเส้นทางเดินรถ, โครงการสิ่งปลูกสร้างต่างๆ)
    • ความสะดวกสบาย (ควรเลือกทำเลในการเปิดร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ที่พักอาศัยเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทาง 

         2) กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยทำการสังเกตลูกค้าที่เข้าร้าน และที่เดินผ่านไปมาในบริเวณที่ตั้งร้านเพื่อเก็บข้อมูลดังต่อไปนี้
    • ประเภทของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (อาชีพ, เพศ, อายุ, การศึกษา)
    • พฤติกรรม และรูปแบบการจับจ่ายใช้สอย (ความถี่ของการซื้อสินค้า, กลุ่มสินค้า หรือยี่ห้อที่เลือกซื้อ)
    • กำลังการซื้อของลูกค้า (เฉลี่ยมูลค่าการซื้อต่อครั้ง ของแต่ละกลุ่มลูกค้า)

         3) ข้อมูลเกี่ยวกับคู่แข่ง ควรทำการศึกษาหาข้อมูลของคู่แข่งทางการค้าในประเด็นดังต่อไปนี้
    • ประเภทหรือรูปแบบร้านค้าคู่แข่ง
    • สินค้า และบริการที่นำเสนอ
    • ราคาสินค้าภายในร้าน
    • ความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและเจ้าของร้านกำลังการซื้อของลูกค้า (เฉลี่ยมูลค่าการซื้อต่อครั้ง ของแต่ละกลุ่มลูกค้า)

Fully Automatic กับ Manual Machines ต่างกันอย่างไร



      เครื่องชงกาแฟสดที่เราเรียกกันว่า Fully Automatic หรือเครื่องชงกาแฟแบบออโต้นั้น คือเครื่องชงกาแฟที่มีเครื่องบดในตัว ซึ่งเราสามารถใส่เมล็ดกาแฟคั่วที่ยังไม่บด เข้าไปด้านบนของเครื่องได้เลย เครื่องจะทำงานโดยบดเมล็ดกาแฟก่อนแล้วจึงกลั่นน้ำกาแฟ (Espresso) ออกมา โดยที่ผู้ชงไม่ต้องทำอะไรมาก


       ผู้ที่ต้องการใช้เครื่องชงกาแฟลักษณะนี้ โดยมากจะเป็นร้านอาหารหรือร้านกาแฟที่ไม่สะดวกจะใช้เครื่องแบบมีก้านชง (Manual Machines) เนื่องจากอาจมีพนักงานไม่เพียงพอที่จะคอยชง หรือกลัวว่าชงแล้วได้กาแฟสดรสชาติไม่เหมือนกันทุกแก้ว หรืออาจจะมีงบจำกัดในการลงทุน จึงเลือกใช้เครื่องชงกาแฟสดลักษณะนี้ เท่ากับซื้อเครื่องชงกาแฟแถมเครื่องบด


       อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เครื่องชงกาแฟแบบออโต้นี้จะใช้ง่าย สะดวก ประหยัด แต่เนื่องจากผู้ชงไม่ได้เป็นผู้ชงจริงๆ ทุกอย่างออโต้จากเครื่อง ทำให้คุณภาพและรสชาติของกาแฟสดที่ได้ อาจจะไม่เหมือนกับคุณภาพที่ได้จากเครื่องชงกาแฟแบบที่ใช้ก้านชง (Manual Machines) ที่ผู้ชงกาแฟสดสามารถควบคุมได้ตั้งแต่การบดเมล็ดกาแฟ ปริมาณกาแฟที่ใช้ น้ำหนักในการอัดกาแฟทีก้านชง ฯลฯ


       เครื่องชงกาแฟสดแบบแมนนวล (Manual Machines) ที่ใช้ก้านชง สามารถแบ่งออกได้หลายประเภท หลายแบบ เช่น เครื่องชงกาแฟขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ โดยถูกจัดแบ่งตามสมรรถนะของเครื่องเพื่อให้รองรับปริมาณการใช้งาน หรือกำลังของเครื่องชงกาแฟนั่นเอง อีกทั้งยังมีการจัดแบ่งตามลักษณะฟังก์ชั่นการใช้งาน อาทิ แบบมีสวิทช์ปิดเปิดธรรมดา หรือเป็นแบบระบบสัมผัส ซึ่งสามารถตั้งระดับน้ำกาแฟได้ และอื่นๆ อีกมากมาย

4 วิธีง่ายๆ ในการเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟให้คุ้มค่าที่สุด

                เครื่องชงกาแฟในปัจจุบันมีมากมายหลากหลายแบบหลายประเภท เราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรจะเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟแบบไหนจึงจะคุ้มค่าและเหมาะสมกับความต้องการของเรามากที่สุด ปัจจัยอะไรบ้างที่เราควรพิจารณา


                 1) ก่อนอื่นคุณถามตัวเองก่อนค่ะว่า คุณต้องการนำเครื่องชงกาแฟไปใช้ทำอะไร ใช้สำหรับทำดื่มเองที่บ้านที่ทำงาน หรือว่าต้องการใช้สำหรับทำธุรกิจร้านกาแฟเพื่อการขาย

                 2) หากใช้เพื่อทำธุรกิจร้านกาแฟเราจะต้องประมาณจำนวนแก้วที่เราจะขายได้ด้วยว่าใช้งานมากน้อยแค่ไหน กี่แก้วต่อวัน หากเราต้องการชงกาแฟทีละไม่กี่แก้ว ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องชงกาแฟขนาดใหญ่ เพราะนอกจากราคาจะสูงกว่าแล้ว การใช้เครื่องชงกาแฟขนาดใหญ่มาชงเพียงไม่กี่แก้วจะทำให้ไม่ได้รสชาติของกาแฟเต็มที่และเปลืองยังเมล็ดกาแฟด้วย ที่สำคัญเครื่องชงกาแฟขนาดเล็กเหมาะกับการชงกาแฟทีละไม่กี่แก้ว และยังมีวิธีการชงที่ง่ายกว่าด้วย

                 3) ความต้องการในการใช้งานของของเครื่องชงกาแฟเป็นแบบไหน สนใจเฉพาะคุณสมบัติของเครื่อง หรือสนใจดีไซน์ สีสันของเครื่องด้วย และเครื่องลักษณะใดที่เหมาะสม อัตโนมัติ กึ่งอัตโนมัติ หรือแบบควบคุมเอง ซึ่งสามารถเลือกได้จากวัตถุประสงค์ของการใช้งานที่ต้องการ เพราะเครื่องชงกาแฟที่ต่างกันย่อมมีความสามารถในการดึงรสชาติของเมล็ดกาแฟไม่เท่ากัน (เลือกแบบที่คิดว่าเราสามารถจะใช้งานได้ดี)

                 4) คุณมีงบประมาณเท่าไร เปรียบเทียบระหว่างคุณภาพ ราคา และลักษณะการใช้งาน เพื่อเลือกเครื่องชงกาแฟที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด ไม่ควรตัดสินใจซื้อเพียงเพราะราคาเพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆประกอบด้วยว่าเพราะเหตุใดจึงราคาต่างกัน ก่อนซื้อควรศึกษาให้รอบคอบก่อนเพื่อให้ไม่เป็นปัญหาภายหลัง และต้องเสียเงินจุกจิกกับการซ่อมเล็กๆน้อยๆ และหากอยู่ดีๆเครื่องชงกาแฟเกิดมีปัญหาสามารถใช้งานได้จะสามารถส่งซ่อมได้ที่ไหน มีศูนย์ซ่อมกี่จุด จำนวนช่างเท่าไร จะได้มั่นใจว่าจะไม่ต้องปิดร้านขณะที่เครื่องมีปัญหา ซึ่งตัวแทนจำหน่ายบางที่ก็มีเครื่องสำรองมาให้ใช้แทนก่อนขณะที่เครื่องยังซ่อมไม่เสร็จ

แก้วกาแฟ....แกล้งคน !!

             ใครจะไปคิดได้ละคะ ว่าแก้วกาแฟยังเอามาใช้แกล้งกันได้!! ....อันนี้ภูมิใจนำเสนอเลยนะคะ เพราะดีไซน์เลิศมากค่ะ นอกจากสวยแล้วรับรองว่าคนรักคุณจะคาดไม่ถึงค่ะ ทำเอาของขวัญแบบเดิมๆ อย่างดอกกุลาบหรือช็อกโกแลตตกยุคกันไปเลย ให้ทีเดียวผู้รับได้ทุกอารมณ์ ทั้งตกใจ ดีใจ และยังเจ็บแสบ ฮึฮึ - _ -* (แบบว่าทำไมถึงทำกับฉันได้)


แก้วกาแฟสุดแปลก....ไว้แกล้งคู่รัก ต้อนรับวาเลนไทน์


                มาดูภาพของจริงกันดีกว่าค่ะ สวยหรูมากเห็นไหมคะ แก้วกาแฟดีไซน์หรูหราหูจับเป็นเหมือนแหวนเพชรมีทั้งสีทองและเงิน มีแพคเกจกล่องใส่แก้วหลอกตาให้เห็นแต่แหวนเพชรเวลาเปิดเหมือนขอแต่งงานยังไงยังงั้น ถ้าถูกใจอย่าลืมกด like กันนะคะ




 




กาแฟหลอด !! ชงเสร็จดูดได้เลย

กาแฟหลอด ฉีก เท ดื่มได้เลย!! (Snip-Dip-Sip Coffee)


               บทความนี้ขอชิวๆหน่อยละกันนะคะ เอาใจคอกาแฟทั้งหลาย..."กาแฟหลอด"..!! ชงเสร็จดื่มได้เลย ดูผิวเผินก็เหมือนหลอดทั่วๆไปเนี้ยแหละค่ะ แต่ภายในมีผงกาแฟสำเร็จรูปอยู่ด้วย สำหรับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟสำเร็จรูปพลาดไม่ได้นะคะ เป็นของNescafeค่ะ ไม่รู้ว่ามีจำหน่ายในประเทศไทยหรือเปล่า (ใครเจออย่าลืมบอกด้วยนะคะ...เผื่อจะแวะไปซื้อมาลองบ้าง)


               
             แพคเกจของกาแฟถูกออกแบบโดย Youngdo Kim เรียบง่าย แต่สะดวกมากๆ เพียงฉีกปลายหลอดแล้วเทผงกาแฟผสมน้ำได้ทั้งเย็นและร้อนเลยค่ะ ตัวหลอดเราก็เอามาใช้คนกาแฟได้ด้วย เสร็จแล้วก็ทำเป็นหลอดดื่มต่อได้เลย สุดยอดจริงๆใช่ไหมล่ะคะ หลอดเดียวทำไ้ด้หมด

              ถ้าดูภาพแล้วยังไม่นึกไม่ออกลองดูคลิปนี้นะคะ ^^

อยากเปิดร้านกาแฟต้องเริ่มต้นอย่างไร?



             1) ก่อนอื่นคุณต้องสำรวจตัวเองก่อนค่ะ ว่าคุณพร้อมที่จะเปิดร้านกาแฟหรือยัง คุณรู้จักและรักในธุรกิจร้านกาแฟดีแค่ไหน การเริ่มต้นธุรกิจร้านกาแฟไม่ใช่เรื่องง่ายคะ แต่ก็ไม่ยากซะทีเดียว หากคุณมีเงินทุนสูงแค่ซื้อแฟรนไชส์ร้านกาแฟก็สามารถเปิดร้านได้แล้ว ซึ่งปัจจุบันก็มีแฟรนไชส์ให้เลือกมากมาย หรืออีกทางเลือกหนึ่งคือเปิดร้านเองเลย....ซึ่งทั้งสองทางเลือกคุณจำเป็นต้องมีความรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจร้านกาแฟก่อนพอสมควร แต่!!!...ต้องศึกษาให้ดีก่อนค่ะ เพราะยิ่งใช้เงินทุนสูงความเสี่ยงยิ่งสูงขึ้นด้วย จะคุ้มทุนแค่ไหน เมื่อไร ข้อแรกนี้สำคัญมากค่ะ ต้องเหนื่อยและใช้เวลามากสักหน่อย

สรุปคือ คุณต้องมีความรู้ ความเข้าใจในธุรกิจร้านกาแฟก่อน จากนั้นกำหนดงบประมาณลงทุนสูงสุด

             2) คุณจำเป็นต้องมีทำเลสำหรับร้านกาแฟของคุณก่อน เลือกจากงบประมาณที่คุณตั้งไว้ โดยต้องเลือกด้วยว่าค่าซื้อ ค่าเช่าเท่าไร และทำเลที่เลือกนั้นมีลูกค้ามากแค่ไหน โอกาสทางการตลาดเป็นอย่างไร จะคุ้มค่ากับเงินลงทุนหรือไม่

             3) เมื่อได้ทำเลแล้ว ต่อไปก็ต้องเลือกประเภทของธุรกิจร้านกาแฟ วางแผนว่าภายในร้านกาแฟของเราจะจำหน่ายอะไรบ้าง เพื่อจะได้ใช้ในการออกแบบร้านง่ายขึ้น จากนั้นก็ต้องจัดหาเครื่องชงกาแฟ อุปกรณ์กาแฟ รวมทั้งวัตถุดิบต่างๆ และสุดท้ายก็จะต้องหมั่นพัฒนาความรู้ ซึ่งสามารถศึกษาได้ตามสถาบันสอนกาแฟ หลายๆที่ ซึ่งบริษัท รีเทลลิงค์ (ไทยแลนด์) จำกัด ก็ได้จัดโครงการอบรมกาแฟสร้างอาชีพ เพื่อชุมชนและสังคม ขอบอกนะคะว่าฟรีตลอดงานเจ้าค่ะ ไม่มีข้อผูกมัดใดๆทั้งสิ้น ^0^ ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัคร ได้ที่ Website --> http://www.retailink.co.th หรือ กรอกใบสมัครที่บล็อกเด็กร้านกาแฟเลยก็ได้นะคะ

              สิ่งสำคัญที่สุดคือ ...เปิดร้านกาแฟโดยมุ่งเน้นคุณภาพมากกว่าเปิดเป็นธุรกิจหรือเทรนด์…นะคะ


~ร้านกาแฟแบบต่างๆ

ระวัง!! ตะกรันตัวปัญหาเครื่องชงกาแฟ

                ตะกรัน คืออะไร จะรู้ได้อย่างไรว่าเครื่องชงกาแฟชองเรามีตะกรันหรือไม่ แล้วตะกรันมีผลเสียอย่างไรกับเครื่องชงกาแฟละ?



ตะกรัน เป็นอย่างไรนะ                              
              ตะกรัน หรือ หินปูน มีลักษณะเป็นของแข็งคล้ายหิน เกิดจากการสะสมของสิ่งเจือปนที่มากับน้ำซึ่งจะทำปฏิกิริยากับความร้อนแล้วตกตะกอนสะสมวันละนิดวันละหน่อย 

             ตะกรันเป็นหินปูนสีขาวๆ เกิดขึ้นตามคุณภาพของน้ำ หากน้ำมีความกระด้างจะทำให้เกิดการก่อตัวของคาร์บอเนตแข็ง (Solid Carbonate) ทั้งนี้จะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับความกระด้างของน้ำ โดยที่ความกระด้างของน้ำขึ้นอยู่กับปริมาณของเกลือ แคลเซียม และแมกนีเซียมที่อยู่ในน้ำ การทำความสะอาดสามารถใช้น้ำส้มสายชูแทนได้หากมีหินปูนเพียงเล็กน้อย แต่หากหินปูนติดแน่น ควรใช้น้ำยาสำหรับล้างตะกรันโดยเฉพาะ

              แล้วตะกรันที่เกาะรอบๆกาต้มน้ำ...เป็นอันตรายต่อร่างกายหรือไม่ ?
              เมื่อต้มน้ำประปาสักพักอุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้เกิดการตกตะกอน และเกิดเป็นหินปูนเกาะรอบๆหม้อต้มน้ำ โดยปริมาณจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความกระด้างของน้ำ ควรมีค่าความกระด้างประมาณ 80-100 มก./ล. ตามปกติแล้วน้ำที่ผ่านการต้มจะไม่มีอันตรายต่อร่างกายสามารถดื่มได้ แต่อุณหภูมิของร่างกายมนุษย์เราไม่สามารถทำให้น้ำที่มีความกระด้างตกตะกอนหรืออุดตันอวัยวะต่างๆ

              หลังจากใช้งานเครื่องชงกาแฟไปได้สักระยะหนึ่งไม่ถึงสองเดือน จะเกิดผลึกของสนิมเกาะไปทั่วหม้อต้มกาแฟและแท่งฮีทเตอร์  เนื่องจากน้ำมีการกรองไม่สมบูรณ์มีโลหะหนักปริมาณมาก  ขณะต้มน้ำจะเกิดการสะสมเกาะปนกับหินปูน ซึ่งส่งผลต่อการทำความร้อนของเครื่องชงกาแฟทำให้เกิดการถ่ายเทความร้อนได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ในที่สุดเครื่องชงกาแฟก็จะไม่ทำความร้อน

               วิธีแก้ไขไม่ควรจะแก้ไขด้วยการล้างหม้อต้มอย่างเดียว เพราะจะทำให้เกิดอาการแบบเดิมซ้ำซาก ควรจะแก้ไขที่ระบบกรองน้ำค่ะเปลี่ยนระบบกรองน้ำและเส้นทางเดินน้ำของเครื่องชงกาแฟใหม่ทั้งระบบ

~ร้านกาแฟแบบต่างๆ

เงินลงทุน สำหรับเปิดร้านกาแฟ แบบที่3 "Stand Alone"


                  เงินที่ใช้ในการลงทุนเปิดร้านกาแฟแบบที่ 3 "Stand Alone" ใช้สูงกว่า้ ร้านกาแฟแบบที่ 1 "Cart" และ แบบที่ 2 "Corner/Kiosk" ค่อนข้างมาก  เนื่องจากร้านกาแฟมีพื้นที่มากกว่า 50 ต.ร.ม. (เป็นร้านกาแฟขนาดใหญ่) และต้องใช้เงินลงทุนในส่วนสินทรัพย์ถาวรสูง ทั้งในการก่อสร้าง การออกแบบตกแต่ง การวางระบบต่างๆ และค่าอุปกรณ์มากกว่าร้านกาแฟแบบอื่นๆ

แผนภูมิวงกลมแสดงการเปรียบเทียบต้นทุนเริ่มต้น
ของร้านกาแฟแบบที่1 (Cart), 
แบบที่2 (Corner) และ แบบที่3 (Stand Alone)



                  จากแผนภูมิวงกลมจะพบว่า ร้านกาแฟแบบที่3 (Stand Alone) ต้องใช้ต้นทุนในการลงทุนสูงที่สุด จัดเป็นเงินลงทุนเริ่มแรกประมาณ 800,000 ถึง 1,500,000 บาท (ร้านกาแฟรูปแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะมีโครงสร้างต้นทุนคล้ายๆกัน)



                  1. เงินลงทุนส่วนสินทรัพย์ถาวร ประมาณ 90% ได้แก่
  • ค่าก่อสร้าง ออกแบบ และตกแต่งสถานที่
  • ค่าวางระบบต่างๆ (ไฟฟ้า น้ำประปา โทรศัพท์ ระบบเก็บเงิน)
  • ค่าอุปกรณ์

                  2. เงินทุนหมุนเวียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ประมาณ 10% ได้แก่

  • ค่าวัตถุดิบสินค้า
  • ค่าบรรจุภัณฑ์
  • ค่าจ้างพนักงาน
  • ค่าเช่าพื้นที่
  • ค่าน้ำ ค่าไฟ
  • ค่าใช้จ่ายในการขายบริหาร
                   หากสนใจร้านกาแฟรูปแบบนี้้ ควรที่จะมีความพร้อมทางด้านสินทรัพย์ถาวร หรือคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เ้ข้ามาทันกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น ซึ่งคุณก็สามารถปรับลดสัดส่วนของสินทรัพย์ถาวรหรือเงินทุนหมุนเวียนที่จะนำมาเป็นค่าใช้จ่ายเริ่มต้นลงได้ ดังนั้นสัดส่วนการลงทุนจึงขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของผู้ที่จะเปิดร้านเองด้วยนะคะ


~ร้านกาแฟแบบต่างๆ

หาเครื่องชงกาแฟ

 

"General stats"

"เด็กร้านกาแฟ"--เด็กร้านกาแฟ แนะนำวิธีเปิดร้านกาแฟ-- Copyright © 2011 | Tema diseñado por:compartidisimo | เด็กร้านกาแฟ.blogspot.com : Blogger